หัวข้อวิทยานิพนธ์ การศึกษาเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยกำลังแรงยึดแบบเฉือน/ปอกของ แบรกเก็ตเซรามิกที่มีลักษณะของฐานต่าง ๆ กัน
ชื่อนิสิต นางสาว สมพิศ ตันสุวรรณนนท์
อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทันตแพทย์ รักพร เหล่าสุทธิวงษ์
อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม อาจารย์ ทันตแพทย์หญิง นิรมล ชำนาญนิธิอรรถ
ภาควิชา ทันตกรรมจัดฟัน
ปีการศึกษา 2538
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยกำลังแรงยึดแบบเฉือน/ปอกในขณะดีบอนด์แบรกเก็ตเซรามิก
ที่มีลักษณะของฐานแบรกเก็ตต่าง ๆ กัน ได้แก่ แบบพันธะเคมี (Transcend), แบบเชิงกล (Lumina),
แบบเชิงกลและพันธะเคมีร่วมกัน (Fascination) และแบบเชิงกลกับพันธะเคมีร่วมกันแต่ฐานทำจากวัสดุ
โพลิคาร์บอเนต (Cermaflex) รวมทั้งศึกษาบริเวณที่มีความล้มเหลวในการยึดติดภายหลังการดีบอนด์
แบรกเก็ตเซรามิกที่มีลักษณะของฐานแบรกเก็ตต่าง ๆ กัน จากการศึกษานี้เพื่อให้ทันตแพทย์จัดฟัน
ได้ใช้เป็นประโยชน์ในการพิจารณาเลือกแบรกเก็ตเซรามิกที่มีประสิทธิภาพสูงสุดให้แก่ผู้ป่วย
วิธีการดำเนินงานวิจัย กลุ่มตัวอย่างเป็นแบรกเก็ตเซรามิกที่ใช้ในเทคนิคไดเร็กบอนด์สำหรับฟันกรามน้อย 4 กลุ่ม
(Transcend, Lumina, Fascination, Cermaflex) กลุ่มละ 60 ตัวอย่าง โดยเป็นแบรเก็ตเซรามิก
ที่มีความกว้างของร่อง 0.018 นิ้ว และมีลักษณะของฐานแตกต่างกันไปทั้ง 4 กลุ่มดังกล่าว ติดแบรกเก็ต เซรามิกลงบนผิวเคลือบฟันด้านใกล้แก้มของฟันกรามน้อยธรรมชาติด้วยวัสดุยึดติดชนิดบ่มตัวเองได้(Concise)
ทิ้งวัสดุให้แข็งตัว 10 นาทีแล้วจึงฝังฟันลงในท่อพีวีซี จากนั้นจึงนำไปเก็บไว้ใน normal saline solution
0.9 % ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 7 วัน ก่อนนำไปทดสอบด้วยเครื่องทดสอบทั่วไป DDS-10T
ความเร็วในการดึงทดสอบ 0.5 มม.ต่อนาที และจากนั้นจึงนำฟันกรามน้อยที่ผ่านการดึงทดสอบแล้ว
ไปดูบริเวณที่มีความล้มเหลวในการยึดติดด้วยกล้องจุลทรรศน์สามมิติ
สรุปผลการวิจัย 1. แบรกเก็ตเซรามิกที่มีลักษณะของฐานต่าง ๆ กันมีค่าเฉลี่ยกำลังแรงยึดแบบเฉือน/ปอก
ต่างกันที่ระดับนัยสำคัญ 0.01 โดยแบรกเก็ตเซรามิกที่มีลักษณะของฐานแบบพันธะเคมี
จะให้ค่าเฉลี่ยกำลังแรงยึดแบบเฉือน/ปอกสูงสุด
2. แบรกเก็ตเซรามิกที่มีลักษณะของฐานต่าง ๆ กันจะมีบริเวณที่มีความล้มเหลวในการยึดติด ภายหลังการดีบอนด์แบรกเก็ตต่างกันโดยฐานแบรกเก็ตเซรามิกแบบพันธะเคมีพบว่ามีการทำลาย
ผิวเคลือบฟันมากถึง 13 ซี่ และฐานแบรกเก็ตเซรามิกแบบเชิงกล
และพันธะเคมีร่วมกันพบว่ามีการทำลายผิวเคลือบฟัน 4 ซี่